ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

ฉันเป็นฉันทุกวันนี้ได้เพราะคุณลุงปรีดี

2
พฤษภาคม
2564

 

ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ในเวลาประมาณช่วงบ่ายๆ ดิฉันนั่งอยู่ที่วัดป่าจิตตวิเวก ประเทศอังกฤษ เพราะเดินทางไปกราบท่านเจ้าคุณปัญญาฯ เนื่องจากท่านเดินทางมาที่อังกฤษและมาพักที่วัด ระหว่างนั้นมีโทรศัพท์มาจากเมืองปารีส พระท่านก็ลุกขึ้นไปรับสาย และเดินกลับมาบอกว่า ท่านผู้หญิงพูนศุขโทรมาโดยอยากจะขอเชิญท่านเจ้าคุณปัญญาฯ ไปที่งานพิธีศพอาจารย์ปรีดี เพราะอาจารย์ปรีดีนั้น ได้เสียชีวิตแล้ว

ดิฉันนั่งอยู่ด้วยตรงนั้น ท่านเจ้าคุณปัญญาฯ ได้ตอบตกลงว่าไป

ณ ที่ตรงนั้นทั้งดิฉันและท่านเจ้าคุณปัญญาฯ ได้นั่งสนทนากันต่อถึงกรณีสวรรคต ท่านรู้เรื่องนี้ดีว่าคนที่ถูกประหารชีวิตทั้ง 3 คนเป็นผู้บริสุทธิ์ และ อาจารย์ปรีดี ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะว่า พยานสำคัญของคดีสวรรคตชื่อว่าเจ้าตี๋ (ตี๋ ศรีสุวรรณ) มากราบท่าน ในเวลานั้นนายตี๋อายุมากแล้ว และ คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน จึงมาขอสารภาพก่อนตาย เพราะไม่อยากให้เป็นบาปเป็นกรรมตามติดกันไปในภพชาติหน้า

ท่านเล่าให้ฟังว่า เจ้าตี๋สารภาพว่า “ผมเป็นพยานเท็จเพราะถูกจ้างมาให้พูดว่าอาจารย์ปรีดี ชิต วัชรชัย ไปประชุมที่บ้านเจ้าคุณศรยุทธเสนี แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ผมเป็นพยานเท็จ จึงขอมาสารภาพ” ท่านเจ้าคุณปัญญาฯ เล่าเรื่องนี้ให้ดิฉันฟัง ในเวลานั้นยังไม่มีการเปิดเผยใดๆ อย่างเป็นทางการ

 

หลังจากสนทนาเรื่องนั้น ก็กลับมาพูดคุยกันถึงเรื่องการเดินทางไปยังบ้านอองโตนี ประเทศฝรั่งเศส ว่าเราจะเดินทางไปกันอย่างไรดี เพราะว่าจะต้องไปขอวีซ่าที่กงสุลฝรั่งเศสประจำกรุงลอนดอน 

ดิฉันจึงรับอาสาที่จะไปจัดการเรื่องวีซ่าให้ท่าน จึงรีบออกเดินทางจากวัดไปยังลอนดอน ไปยังกงสุลและขอพบกับเจ้าหน้าที่กงสุลโดยอธิบายว่าอาจารย์ปรีดี เป็นคนสำคัญอย่างไรของเมืองไทย เล่าความเป็นมาของความผูกพันระหว่างอาจารย์ปรีดี กับประเทศฝรั่งเศส กงสุลหายไปคุยกันภายในไม่นานนัก และเดินออกมาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมกับตกลงให้วีซ่าผ่าน โดยแจ้งว่า ยินดีมากที่จะให้วีซ่ากับท่านเจ้าคุณปัญญาฯ เพื่อเดินทางไปร่วมในพิธีศพ และตอนนี้ทางการฝรั่งเศสได้ทราบถึงข่าวคราวการเสียชีวิตแล้ว

หลังจากเรื่องเอกสารเรียบร้อย ดิฉันก็ออกเดินทางไปปารีสพร้อมกับท่านเจ้าคุณปัญญาฯ เพื่อรีบเดินทางไปร่วมงานศพบุคคลที่ดิฉันรักและเคารพสุดหัวใจ และดิฉันอยู่ร่วมในพิธีศพตั้งแต่วันแรกจนถึงพิธีฝัง 



คุณลุงปรีดีในความทรงจำของดิฉัน 

หากให้ย้อนนึกถึงคุณลุงปรีดี ดิฉันจำได้ว่าเคยถามท่านอยู่เนืองๆ ถึงเรื่องกรณีสวรรคต แต่ท่านไม่เคยพูดอะไรนอกจากประโยคที่ว่า “สักวันหนึ่งความจริงจะปรากฏ ให้รอคอยเวลา และตอนนี้ยังพูดไม่ได้” ท่านจะพูดเช่นนี้เสมอ ในเวลาที่ถูกถาม

ในเรื่องของกรณีสวรรคต ดิฉันได้คุยกับคุณลุงปรีดีหลายครั้ง เนื่องด้วยคุณพ่อ (หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์) ของดิฉันสนับสนุนคุณลุงปรีดีอย่างเต็มที่ หลังจากที่คุณพ่อได้ทำการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับกรณีสวรรคตนี้ 

คุณพ่อกับคุณลุงปรีดี ประสบความสำเร็จด้วยกันในขบวนการเสรีไทยที่ได้นำเอกราช ประชาธิปไตยคืนกลับสู่แผ่นดินไทย และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดด้วยแนวคิดเดียวกันคือต้องการให้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในเมืองไทย แต่พอเหตุการณ์รัฐประหาร 2490 ชีวิตในการทำงานเพื่อประเทศชาติของทั้งสองท่านจบสิ้นลงในวันนั้น ความหวังของทั้งคุณลุงปรีดีและคุณพ่อของดิฉันที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติไม่สำเร็จทั้งคู่

ต้องขออภัยที่ดิฉันจำรายละเอียดต่างๆ ในบางเรื่องราวที่อยากเล่าได้ไม่หมด เนื่องจากตอนนี้ก็อายุมากแล้ว แต่ในความทรงจำที่ยังชัดเสมอนั้น คือคุณงามความดีของทั้งคุณพ่อและคุณลุงปรีดี 

ดิฉันรักคุณลุงมาก เพราะว่าท่านเป็นคนที่มีหลักการ มีวิสัยทัศน์ ดิฉันเป็นดิฉันถึงทุกวันนี้ได้ เพราะมีคุณลุงปรีดีเป็นฮีโร่ที่ฉันใช้ยึดหลักในการดำเนินชีวิต ฉันยึดมั่นอยู่บนความสัตย์จริง อยู่ในสัจจะความยุติธรรม และ ประชาธิปไตย 

“การปกครองในแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ พระมหากษัตริย์จะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเท่านั้น”  



สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ 26/04/2564

เรียบเรียงและทำการสัมภาษณ์โดยบรรณาธิการ